|
|
|
|
|
|
โปรแกรม Flash สร้างไฟล์เสียงเองไม่ได้ แต่เราต้องนำเข้าเสียงที่อัดเอง หรือหาจากแผ่นซีดี หรือใช้โปรแกรมสำหรับตัดต่อ
เสียง
ที่ต้องการ แต่การนำเสียงมาใช้ในชิ้นงานต้องพิจารณาขนาดของไฟล์ด้วย เช่น เสียงที่นำมาใช้บนชิ้นงานที่แสดงบนหน้าเว็บ
ควรมีขนาดเล็กเพื่อให้ผู้ชมไม่ต้องรอโหลดผ่านอินเตอร์เน็ตนาน |
|
|
การใส่เสียงประกอบ มีดังนี้ |
|
|
|
|
|
1. การนำเข้าไฟล์เสียง |
|
|
เสียงประกอบในมูฟวี่ของ Flash แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Event Sound หมายถึง เสียงที่ต้อง
ถูกดาวน์โหลด มาครบสมบูรณ์ก่อน จึงจะเริ่มเล่นได้ และเมื่อเล่นแล้วก็จะเล่นอย่างต่อเนื่องจนกว่าเราจะสั่งให้หยุด Stream Sound หมายถึงเสียงซึ่งจะเริ่มเล่นทันที ที่ข้อมูลของเฟรมแรกๆ ถูกดาวน์โหลดเข้ามามากพอ
ที่จะเล่นได้ไฟล์เสียงที่เราสามารถอิมพอร์ตเข้ามาใช้ใน โปรแกรม Flash คือไฟล์ประเภท WAV,AIFF (.aif) และ MP3 นอกจากนี้หากเครื่องติดตั้งโปรแกรม QuickTime 4 ขึ้นไป ก็จะสามารถใช้ไฟล์เสียงประเภทอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด คือ AIFF,AU,QuickTime,System7 และ Sound Designer II |
|
|
|
1.1 การอิมพอร์ตเสียง |
|
ขั้นที่ 1 เลือกคำสั่ง File > Import > Import to Library... |
|
|
|
ขั้นที่ 2 ในกรอบ Import เปิดหาไฟล์เสียงที่ต้องการ (หมายเลข 1)
ขั้นที่ 3 คลิกที่ชื่อไฟล์นั้น (หมายเลข 2)
ขั้นที่ 4 คลิก Open (หมายเลข 3) |
|
|
|
ขั้นที่ 5 ไฟล์เสียงจะถูกนำเก็บไว้ในไลบรารีโดยมี ไอคอนเป็นรูปลำโพง |
|
|
|
|
|
ระบบของเสียงที่ใช้ได้นั้นแบ่งได้เป็นแบบโมโน (Mono) และแบบสเตอริโอ (Stereo) โดยระบบโมโนเป็นเสียงที่มีช่องสัญญาณเดียว เช่นเสียงพูด ส่วนระบบสเตอริโอเป็นเสียงที่มี
2 ช่องสัญญาณ เสียงที่ออกจากลำโพง 2 ข้าง จะต่างกัน
เพื่อให้ความสมจริงกว่า เหมาะกับ
งานที่มีลักษณะระดับเสียง เช่น เสียงดนตรี
ไฟล์เสียงที่เป็นสเตอริโอ
จะใช้พื้นที่ในการเก็บมากกว่าไฟล์เสียงแบบโมโน |
|
|
ขั้นที่ 6 เพิ่มเลเยอร์ “เสียงรถยนต์”ที่ New Layer (หมายเลข 1) ที่ตำแหน่งเฟรมที่ 1
(หมายเลข 2) คลิกลากไฟล์เสียง
ในไลบรารี
มาวางที่ Stage |
|
|
|
|
|
ขั้นที่ 7 ในหน้าต่าง Properties (หมายเลข 1) และเลือกแบบ Stream (หมายเลข 2) |
|
|
|
|
|
|
|
ขั้นที่ 8 กำหนดช่วงเวลาในการเล่น เช่น ต้องการเล่นเพลงไปถึงเฟรมที่ 80 ให้คลิกที่ 80
แล้วกด F6 เพลงจะเล่นจากเฟรมที่ 1-80 |
|
|
|
|
|
ขั้นที่ 9 หากต้องการใส่ effect ให้กับเสียง สามารถใส่ได้จากหน้าต่าง properties ที่ช่อง Effect ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ |
|
|
|
|
|
|
|
1.2 การลบเสียง |
1. การลบเสียงออกจากเฟรมกรณีที่แทรกเสียงในเฟรมแล้วดังภาพ (เสียงเล่นที่เฟรมที่ 1-80)
เมื่อต้องการลบเสียงออก ทำได้โดย |
|
ขั้นที่ 1 คลิกที่เฟรมใดเฟรมหนึ่ง ในระหว่างเฟรมที่ 1-80 |
|
|
|
ขั้นที่ 2 ที่หน้าต่าง Properties ช่อง Sound ให้คลิกเลือกเป็น None |
|
|
2. การลบเสียงออกจาก Movie กรณีที่เมื่อนำไฟล์เสียงเข้ามาใน Movie แล้ว และต้องการลบออก ทำได้โดย เปิดหน้าต่าง Library แล้วคลิกไฟล์เสียงที่ต้องการลบ (หมายเลข 1) แล้วคลิกถังขยะ (หมายเลข 2) |
|
|
|
|
|
|
|
2. การใช้งานเสียงสำเร็จรูป |
|
|
โปรแกรมFlash ได้เตรียมเสียงสำเร็จรูปส่วนหนึ่งไว้ให้เราใช้งาน ซึ่งอยู่ในพาเนล External Library โดยไฟล์เสียง
จะอยู่ในรูปแบบ MP3 สามารถเปิดใช้งานพาเนลได้จากเมนูคำสั่ง Window>Common Libraries>Sounds
เมื่อเปิดพาเนลขึ้นมา จะพบเสยงสำเร็จรูปที่โปรแกรมเตรียมไว้ให้ใช้งานมีทั้งหมด 185 เสียง เช่น
เสียงคนชมบาสเกตบอล เสียงสุนัขเห่า เสียงหัวเราะ เสียงเด็กร้อง เสียงวิ่ง เสียงเดิน เสยงไซเรน ฯลฯ
สามารถคลิกแล้วลากไปวางบนสเตจเพื่อใช้งานได้ |
|
|
|
|
|
|
|
|
3. การกำหนดค่าเสียง |
|
|
สามารถปรับแต่งเสียงที่ใช้ในเฟรมได้ โดยคลิกเลือกคีย์เฟรมหรือเฟรมที่วางไฟล์เสียง ใน Property Inspector จะมีตัวเลือกต่างๆดังนี้ |
|
|
|
|
|
Name |
แสดงชื่อไฟล์เสียงที่ใช้ |
Effect |
กำหนดแอฟเฟ็กต์ให้กับเสียง โดยมีรูปแบบต่างๆดังนี้ |
|
- None ไม่ใช่แอฟเฟ็กต์ใดๆ
- Left/Right Channel ให้เสียงออกลำโพงซ้าย หรือขวาเท่านั้น
- Fade to Right/Left ใส่เสียงจากลำโพงซ้ายไปขวา หรือจากลำโพงขวาวิ่งไปซ้าย
- Fade in ให้เสียงเริ่มต้นเบาๆ และค่อยๆดังขึ้น
- Fade out ให้เสียงเริ่มต้นดัง และค่อยๆเบาลง
- Custom ให้เรากำหนดแอฟเฟ็กต์เสียงเอง
|
Sync |
(ย่อมาจากคำว่า Synchronize) กำหนดให้เริ่มต้นและจบการเล่นเสียงอย่างไร โดยมีตัวเลือกดังนี้ |
|
- Event จะรอโหลดไฟล์เสีงมาให้ครบก่อน จึงจะเริ่มเล่นเสียงและเล่นเสียงนี้
จนจบ โดยเป็นอิสระจากไทมไลน์ และอาจเล่นต่อแม้มูฟวี่จะแสดงภาพเคลื่อนไหวจบไปแล้วก็ตาม
- Start จะสั่งเล่นเสียงเหมือนกับ Event ต่างกันตรงที่หากไฟล์เสียงนั้นกำลัง
ถูกสั่งให้เล่นมาก่อน และยังเล่นไม่จบ ก็จะไม่สั่งให้เล่นเสียงซ้อนกัน
- Stop หยุดเสียงที่กำลังเล่นอยู่
- Stream จะเล่นไฟล์เสียงเมื่อเราโลดไปได้แล้วบาส่วน เหมาะสำหรับการเล่นเสียงบนเว็บไซต์ที่จะต้องใช้เวลาโหลดไฟล์นาน ทำให้ไม่ต้องรอจนกว่าจะโหลดไฟล์เสร็จจึงจะเล่นเสียงได้ โดยโปรแกรม Flash จะแสดงชิ้นงานให้สัมพันธ์กับเสียงที่เล่น ในกรณีที่เสียงโหลดมาเล่นไม่ทัน ภาพเคลื่อนไหวก็จะหยุดรอชั่วคราว แต่หากภาพเคลื่อนไหวแสดงไม่ทัน เสียงก็จะกระโดข้ามบางเฟรมเพื่อให้ภาพเคลื่อนไหวแสดงให้ทันเสียง นอกจากนั้นการเล่นเสียงแบบ Stream จะหยุดเล่นเสียงเมื่อมูฟวี่จบ และจะเล่นจำนวนเฟรมที่ใส่เสียงไว้
|
Sound Loop |
กำหนดให้เล่นซ้ำไปเรื่อยๆ หรือตามจำนวนรอบที่ระบุ |
|
- Repeat เล่นซ้ำตามจำนวนรอบที่ระบุไว้ด้านหลัง
- Loop เล่นซ้ำไปเรื่อยๆ
|
การเล่นเสียงแบบ Stream ต่างจากการเล่นเสียงแบบ Event ตรงที่การเล่นเสียงแบบ Stream
จะพิจารณาการเคลื่อนไหวบนไทม์ไลน์ เพื่อให้การเล่นเสียงนั้นสอดคล้องกับการแสดงภาพเคลื่อนไหว ในขณะที่การเล่นเสียงแบบ Event จะไม่พิจารณาการเคลื่อนไหวบนไทมไลน์เลย
จึงเล่นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการหยุดรอ
ตัวอย่างการใช้เสียงแบบ Event คือกรณีที่ต้องการให้มีเสียง “คลิก” เมื่อผู้ใช้คลิกปุ่มกด ถ้าผู้ใช้คลิกปุ่มกดครั้งแรก และคลิกครั้งที่สองตามทันที ก็ให้เล่นเสียง “คลิก” สองครั้งซ้อนๆกัน แม้เสียงแรกยังเล่นไม่จบก็ตาม
ตัวอย่างการใช้เสียงแบบ Stream คือการให้ตัวการ์ตูนในชั้นงานขยับปากพูดกับเสียงพากษ์ที่นำมาประกอบ |
|
|
|
|
|
|
|
การปรับแต่งเสียงด้วยตนเอง |
|
|
ใน Property Inspector ส่วนของ Effect ถ้าเราเลือก Custom จะเป็นการเปิดหน้าต่าง Edit Envelope สำหรับใช้ปรับแต่งเสียง และสร้างแอฟเฟกต์ให้กับเสียงได้อย่างเจาะจง โดยเราสามารถกำหนดความดังและความค่อยของเสียงในแต่ละช่วง หรือจะให้เสียงดัง สลับแต่ละด้านของลำโพงก็ได้ |
|
|
Play |
เล่นเสียง |
Stop |
หยุดเสียง |
Zoom In |
ใช้ขยายภาพคลื่นเสียงทำให้เข้าไปแก้ไขรายละเอียดได้ง่ายขึ้น |
Zoom Out |
ใช้ย่อภาพคลื่นเสียง |
Second |
แสดงไทม์ไลน์เป็นหน่วยวินาที |
Frame |
แสดงไทม์ไลน์เป็นหน่วยเฟรม |
Time In/Time Out |
กำหนดจุดเริ่มต้นเล่นเสียง และจุดที่จะหยุดเล่นเสียง |
|
|
|
|
|
|
การใช้หน้าต่าง Edit Envelope เราสามารถเลือกเอฟเฟ็กต์ที่กล่าวไปแล้ว เช่น Left/Right Channel หรือเราจะกำหนดเองก็ได้ โดยใช้เมาส์ลากเส้น Envelope
ในหน้าต่าง Edit Envelope จะมีอยู่ 2 ช่อง ช่องบนคือลำโพงซ้าย ช่องล่างคือลำโพงขวา เส้น Envelope จะมี 2 เส้น ในช่องลำโพงซ้ายและช่องลำโพงขวาอย่างละเส้น ถ้าระดับของเส้น Envelope อยู่สูง หมายความว่า เสียงดัง ถ้าระดับเส้น Envelope อยู่ต่ำ หมายความว่า เสียงค่อย |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การบีบอัดข้อมูลเสียงเพื่อลดขนาดชิ้นงาน |
|
|
ในการสร้างมูฟวี่ (.swf) ที่จะใช้เผยแพร่ผลงาน โปรแกรม Flash จะไม่ได้นำไฟล์เสียงที่เป็นต้นฉบับไปด้วย แต่จะแปลงเสียงไปรวมเข้ากับไฟล์มูฟวี่เลย ดังนั้นหากไฟล์เสียงที่เรานำมาใช้มีขนาดใหญ่ เมื่อนำมาแปลงรวมเข้ากับไฟล์มูฟวี่ ก็จะทำให้ไฟล์มูฟวี่มีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้การโหลดผ่านอินเทอร์เน้ตเพื่อแสดงบนหน้าเว็บช้ามาก |
|
|
วิธีแก้ปัญหานี้ เราควรทำการบีบอัดข้อมูลเสียงที่ใช้ในชิ้นงานให้เล็กลง แล้วจึงนำไปรวมเข้ากับไฟล์มูฟวี่ ซึ่งการสั่งให้บีบอัดเสียงนี้จะมีผลกับไฟล์มูฟวี่ (.swf) ที่จะใช้เผยแพร่เท่านั้น ไม่ได้มีผลกับเสียงในพาเนล Library หรือกับไฟล์เสียงต้นฉบับแต่อย่างใด |
|
|
ดับเบิลคลิกไอคอนไฟล์เสียงใน พาเนล Library
(หรือคลิกขวาที่ชื่อไฟล์เลือกคำสั่ง Properties ก็ได้)
จะปรากฏหน้าต่าง Sound Properties |
|
|
|
|
|
|
|
แสดงรายละเอียดของไฟล์เสียงและค่ากำหนดเกี่ยวกับการบีบอัดข้อมูลเสียง ดังนี้ |
- ปุ่ม Update ใช้โหลดไฟล์เสียงเข้ามาใหม่ในกรรีที่มี
การแก้ไขไฟล์ต้นฉบับ
- ปุ่ม Import ใช้นำเข้าไฟล์เสียงอื่นมาแทนไฟล์เสียงนี้
- ปุ่ม Test ใช้ทดสอบเล่นเสียงว่าฟังได้หรือไม่
เมื่อเปลี่ยนค่าการบีบอัดเสียง
- ปุ่ม Stop ใช้หยุดเสีงที่กำลังเล่น
|
|
- Compression เลือกการบีบอัดเสียง
>> Default ให้บีบอัดไฟล์เสียงตามค่าที่กำหนดไว้แล้วในหัวข้อ Publish Setting
>> ADPCM เป็นวิธีบีบอัดที่เหมาะสำหรับไฟล์เสียงสั้นๆ เช่น เสียงคลิกกดปุ่ม
>> MP3 เป็นวิธีบีบอัดที่เหมาะสมสำหรับไฟล์ดนตรี และไฟล์เสียงที่มีความยาวมากๆ
>> RAW ไม่บีบอัดไฟล์เสียง
>> Speech เป็นวิธีบีบอัดที่เหมาะสำหรับไฟล์เสียงพูด
|
|
|
|
|
|
|
|
ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้เสียง |
|
|
ข้อมูลเสียงนั้นมีขนาดใหญ่ และต้องใช้พื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ และหน่วยความจำมาก ดังนั้นจึงควรเลือกใช้วิธีบีบอัดข้อมูลให้ได้ขนาดที่เหมาะสมที่สุด และควรพิจารณาข้อแนะนำต่อไปนี้ด้วย
- ในกรณีที่เรามีหน่วยความจำไม่มาก ก็ควรใช้ไฟล์เสียงที่เป็นแบบ 8 บิต แทนไฟล์เสียงแบบ 16 บิต
- การกำหนดความถี่เสียง (Sample rate) ให้สูงกว่าไฟล์ต้นฉบับไม่ได้ช่วยทำให้เสียง ดีขึ้น เช่นไฟล์เสียงพูด 5 kHz โมโนถ้าปรับเป็น 44 kHz สเตอริโอ ก็ฟังเหมือนเสียง 5 skHz อยู่ดี
- ตัดช่วงไม่มีเสียงในไฟล์ออก โดยกำหนดจุด Time in และ Time out ในหน้าต่าง Edit Envelope จะช่วยให้ขนาดไฟล์เล็กลง
- พยายามนำเสียงที่มีอยู่แล้วมาใช้ซ้ำ แต่ดัดแปลงให้แตกต่างโดย นำเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆมาใช้ เช่น การปรับความดังเสียง การเล่นวน การกำหนดจุดเริ่มและจุดจบเสียงที่แตกต่างกันไป ราก็จะสามารถใช้ไฟล์เสียงไฟล์เดียว แต่ได้เสียงที่มีความหลากหลายมาใช้
- เสียงที่ใช้ประกอบฉากควรนำไฟล์ท่อนสั้นๆมาใช้ และเล่นวนไปเรื่อยๆ แทนการนำไฟล์ท่อนยาวๆมาใช้ตลอดฉาก
- ไม่แนะนำให้เล่นเสียง Stream แบบวนซ้ำ เพราะการเล่นเสียงแบบนี้ จะเล่นตามจำนวนเฟรมที่มีหมายความว่า ถ้าเล่นเสียงจบ 1 รอบ ใช้ 300 เฟรม ถ้าจะเล่น 3 รอบ ก้องใช้ 900 เฟรมซึ่งชิ้นงานจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามจำนวนเฟรมที่เพิ่ม
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|